ตะปูแห่งความโกรธ
ออร์แกนิคในหัวใจ #2
เรื่องสั้นเกี่ยวกับ ความโกรธ ที่สร้างความสั่นสะเทือนในหัวใจให้คนอ่านได้อย่างสูง อ่านแล้วไม่มีวันลืม เก็บไว้สอนลูกหลานได้ ในภาวะปัจจุบันที่คนเรามีความอดทนต่ำ หัวร้อนเร็วจัด ความเห็นอกเห็นใจน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก
——————————————————————————————–
เด็กคนหนึ่งกลับบ้านมาพร้อมรอยฟกช้ำดำเขียวที่ใบหน้าและสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกของเขา เพราะรู้จักนิสัยลูกของเขาดี ที่หงุดหงิดง่าย โดยเฉพาะการพูดจาต่อว่า ทำร้ายจิตใจผู้อื่นเป็นประจำ ทางโรงเรียนก็เชิญไปผู้ปกครองไปพบหลายครั้ง
วันนี้พ่อของเขาไม่ทำโทษ ไม่ต่อว่าเด็กน้อยสักคำ แต่ให้ตะปูกับเขา 1 ถุง พร้อมบอกให้เขาสัญญาว่า ”ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโหหรือโกรธใครสักคน หรือพูดจากทำร้ายใคร 1 ครั้ง ต้องตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วไม้ที่หลังบ้าน โกรธหรือพูดทำร้ายใคร 1 ครั้ง ให้ตอก 1 ตัว ถ้าโกรธหรือพูดทำร้ายใคร 10 ครั้ง ให้ตอกตะปู 10 ตัว”
วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว เขาเหนื่อยและเจ็บมือมากแต่ละวันที่ผ่านไป เด็กน้อยก็ค่อย ๆ ลดจำนวนการตอกตะปูน้อยลงเรื่อย ๆ น้อยลง และน้อยลง เพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ
และแล้ว…หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อ และบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่หัวร้อน โกรธ มุทะลุและพูดจาทำร้ายคนอื่นๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายว่า ”ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ลูกต้องพิสูจน์ให้พ่อดู โดยทุกๆ ครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง”
ในวันต่อๆ มา วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยก็ค่อยๆ ถอนตะปูออก ทีละตัว จาก 1 เป็น 2 …จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก…จนหมด เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อว่า“ผมทำได้แล้วครับ ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ” พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้านและบอกกับลูกว่า “ลูกทำได้ดีมาก แต่ลูกลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ ลูกเห็นหรือเปล่าว่า รั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น”…..“จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่ลูกโกรธ โมโห พูดจาทำร้ายคนอื่น หรือทำอะไรไม่ดีๆ ลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอาตะปูตอกเข้าไปในใจของคนๆ นั้น รวมทั้งในใจของลูกเอง ต่อให้ลูกพูด “ขอโทษ” สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ มันก็เหมือนกับตะปูที่ลูกตอกไปที่รั้วนั้น แม้ลูกจะถอนมันออมมาแล้ว มันจะยังคงมีร่องรอยให้คงอยู่ไปตลอดกาล”
…………………………………………………
ทุกวันนี้เด็กๆ มักพูดจาไม่ดีกับพ่อแม่ Read More
ทุกวันนี้ข้าวถุงที่เรากินกันทุกๆ มื้อนั้น คุณค่าทางอาหารน้อยลงไปเรื่อยๆ แถมอาจจะทำให้เราเป็นโรคเพิ่มขึ้นได้ด้วยนะ เคยได้ยินนักวิชาการทางด้านสุขภาพตั้งข้อสังเกตว่า “คนไทยเราป่วยเป็นโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตมากขึ้น” ซึ่งก็จริง แต่หลายท่านยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกว่า “ทั้ง 2 โรคนี้ มาพร้อมกับการกำเนิดของโรงสีข้าว”
ลองคิดดูสิ เรากินข้าวกันทุกวัน วันละ 3 มื้อ กินติดต่อกันมาตั้งแต่เกิด ข้าวที่เรากินกันเป็นข้าวขาว ซึ่งเป็นข้าวที่ผ่านกระบวนการสีข้าวจนขาว ไม่ว่าจะเป็นข้าวพันธุ์อะไรก็เป็นสีขาวเหมือนกันหมด ข้าวหอมมะลิสีขาว ข้าวเส้าไห้สีขาวฯ จริงอยู่…ข้าวขาวดูดีสะอาดตา หรืออย่างน้อยก็ทำให้เรารู้สึกว่าสะอาดดี แต่จริงๆ แล้วข้าวขาวที่เรากินกันนั้นมีแต่แป้งทั้งนั้น จะมีกากใยบ้างก็เล็กน้อยเต็มที ตามความรู้เดิมๆ ที่เราเรียนตั้งแต่สมัยมัธยมก็คือ แป้ง เมื่อถูกย่อยจะกลายเป็นน้ำตาล ในกระเพาะอาหารเราก็ย่อยข้าวขาวที่มีแต่แป้งให้กลายเป็นน้ำตาล ดังนั้นร่างกายเราก็ดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เป็นอย่างนี้ทุกวันๆ ละ 3 เวลาหลังอาหาร เมื่อมีน้ำตาลในเลือดเยอะคุณคงเดาออกว่าจะเป็นโรคอะไร ใช่แล้วครับ “เบาหวาน” และมันมักจะมาพร้อมกับความดันโลหิตสูงซะด้วย
อีกเรื่องหนึ่งดูเหมือนเราจะเลี่ยงไม่ได้คือข้าวในเมืองไทยส่วนใหญ่จะถูกปลูกในเชิงอุตสาหกรรม ดังนั้นกระบวนการปลูกก็จะใช้สารเคมีเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้ผลผลิตสูง ใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มสารอาหารในดินก่อนปลูก และใส่ปุ๋ยเคมีระหว่างที่ข้าวเจริญเติบโต พ่นสารเคมีป้องกันแมลงบางอย่าง แต่ถ้ามีแมลงอีกอย่างเข้ามา ก็ต้องพ่นสารเคมีกำจัดแมลงตัวนั้นอีก หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวมาแล้วเมื่อขายเข้าโรงสีข้าว โรงสีก็ไม่ได้สีข้าวซะทีเดียว ข้าวเปลือกก็จะถูกเก็บเอาไว้ในโกดังก่อน การเก็บข้าวเปลือกในโกดังนั้นก็ต้องรมสารเคมีกันมอดกันแมลงอีก ในขั้นตอนการสีข้าวให้ขาวคุณประโยชน์ของข้าวถูกขัดออกไปหมด ทั้งวิตามิน B1 B2 Bรวม โปรตีน(ข้าวก็มีโปรตีนนะจ๊ะ) และเกลือแร่อีกหลายชนิด เหลือแต่แป้งไว้ให้เรากิน…น่าเศร้าจัง แต่ยังเศร้ากว่านั้นอีก คือหลังสีข้าวให้ขาวแล้วโรงสีก็ต้องส่งไปเก็บรอการบรรจุถุงขาย ตอนเก็บข้าวขาวนี้ก็ต้องรมสารเคมีป้องกันมอดและแมลงอีกที ลองกลับไปนับในย่อหน้านี้ดูสิครับว่ามีสารเคมีเข้ามาในกระบวนการทำข้าวมากแค่ไหน ข้าวขาวที่เรากินกันทุกวันนี้คือข้าวที่ตายแล้ว ตายแล้วตายอีกหลายรอบกว่าจะมาถึงเรา อิจฉาคนสมัยก่อนที่ได้กินข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือที่ตำกินเอง ปลูกด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ไม่มีสารเคมีอย่างสิ้นเชิง เรียกว่า “ข้าวกล้องอินทรีย์ฆ ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ คือข้าวที่ยังมีชีวิต ถ้าโปรยลงบนดินก็สามารถงอกขึ้นมาเป็นต้นข้าวได้ สังเกตดูสิครับคนรุ่นทวดเราจะเป็นคนที่อายุยืนมากๆ แต่รุ่นปู่ย่าตายายเรานี่ไม่ค่อยยืนเท่า
จะว่าไป เดี๋ยวก็ถือว่าโชคดีของเราเหมือนกันที่มีคนหันไปผลิตข้าวกล้องอินทรีย์ ตามวิถีเกษตรอินทรีย์(Organic) ไม่ใช้สารเคมีใดทั้งสิ้นมากขึ้น ทำให้คนกินข้าวอย่างเราๆ มีทางเลือกเพิ่มขึ้น…เลือกกันให้ถูกทางนะ เพื่อสุขภาพของตัวคุณเองและคนที่คุณรัก
ด้วยความปรารถนาดีจาก บ้านไร่ต้นฝัน
มองโรคในแง่ดี
ออร์แกนิคในหัวใจ #1
ลองกลับไปอ่านชื่อเรื่องอีกทีครับ! คุณไม่อ่านผิดและผมก็ไม่ได้เขียนผิดหรอกครับ ผมแค่อยากให้พวกเรามองด้านดีของ
เรื่องร้ายๆ กันสักหน่อย เพราะทุกๆ เรื่องมีด้านที่ดีเสมอ ก่อนที่ผมจะมองโรคในแง่ดี ผมอยากเล่าด้านร้ายให้พวกเราได้
ตระหนักกันก่อน
ผมผ่านเรื่องร้ายที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมมาแล้ว… “ไตวาย” ภัยเงียบที่มาโดยผมไม่รู้ตัว (อย่าเพิ่งมองในแง่ร้ายนักนะครับ) ผมเป็นคนที่แข็งแรงมาก ปีหนึ่งปวดหัวตัวร้อนครั้งสองครั้งไม่เกินนั้น มีอยู่วันหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วผมเกิดอาเจียนไม่หยุดตั้งแต่เช้าจนเย็น เมื่อสรุปได้เองว่าอาการที่เกิดไม่ใช่อาหารเป็นพิษหรือโรคอื่นที่เคยเป็นแน่นอน ผมก็ตรงดิ่งไปหาหมอ หลังจากคุณหมอตรวจทั้งโดยการสังเกตอาการ สอบถามประวัติและเจาะเลือดตรวจ คุณหมอบอกผมว่า
หมอ: “อาการของคุณคือ ไตวายเรื้อรัง”
ผมอึ้งไปพักใหญ่และถามคุณหมอว่า
ผม: “แล้วไตเอ๊กซ์และไตแซดเป็นยังงัยครับหมอ”…(บรรทัดนี้ล้อเล่นครับ ขำ ขำ)
ผมถามจริง: “ไตวาย มันเป็นยังงัยครับหมอ”
หมอ: “ไตวายมี 2 ประเภท มีไตวายเฉียบพลัน กับไตวายเรื้อรัง ของคุณเป็นไตวายเรื้อรังระดับ 4 ครับ”
ผม: “แล้วมันมีกี่ระดับครับหมอ”
หมอ: “4 ระดับ”…
ผม: อึ้ง!
หมอ: “สำหรับคุณยังไม่ต้องฟอกไต แต่ต้องควบคุมเรื่องอาหารอย่างเคร่งครัด”
ผม: “ถ้างั้นผมจะกินอย่างชีวจิต ผมก็คงอยู่โดยไม่ต้องฟอกไตได้อีกนานใช่ไหมครับ”
หมอ: “อืม…ม…”(ไม่ตอบ) …”ขั้นต่อไปหมอขอเจาะไตของคุณเพื่อดูเนื้อไตอย่างละเอียดหน่อยนะครับ แล้วคุณมีไวรัสตับอักเสบบี คงต้องเจาะตับดูภาวะเสี่ยงอีกด้วยครับ”
ผม: “เหรอ…ครับ”
หลังจากกินแบบชีวจิตอย่างเคร่งครัดเพื่อนหลายคนเป็นพยานได้ ผมก็ทนได้แค่ 3 เดือน ผมต้องเข้ากระบวนการฟอกไต นอนฟอกครั้งละ 4 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เป็นเวลา 8 เดือน ซึ่งเป็นระยะที่ครอบครัวผมร่วมวางแผนเปลี่ยนไตให้ผม โดยมีน้องชายและน้องสาวทั้งสองของผมยินดีสละไตให้ผมหนึ่งข้าง… วันปีใหม่ปี 2550 ของขวัญปีใหม่ในปีนั้นของผมคือ ไตที่สมบูรณ์ของน้องชายผม ทุกวันนี้น้องชายผมสุขภาพแข็งแรงดี ส่วนผมก็ใช้ชีวิตอย่างมีสุข รู้ค่าทุกนาทีของการมีชีวิตอยู่ เรียนรู้ที่จะอยู่กับยากดภูมิตลอดชีวิตเพื่อไม่ให้ร่างกายปฏิเสธไตของน้องชาย ตรงไปตรงมากับตัวเอง รีบทำสิ่งที่คิด ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ไม่ยึดติดกับสิ่งสมมติมากเกินไป ดีต่อคนรอบข้าง ดีต่อเพื่อนร่วมงาน…ผมมีความสุขดี…มาก
ทำไม่ผมถึงอยากให้คุณมองโรคในแง่ดีเหรอครับ เพราะผมอยากให้คุณมีความสุข ถ้าเลี่ยงมันไม่ได้ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุข ข้ามผ่านมันไปได้อย่างมีสติ หันกับมามองมันอย่างคนที่แข็งแกร่ง
วิธีมองโรคในแง่ดี
• ถ้าคุณเป็นหวัดวันนี้ คุณจะไม่มีวันเป็นหวัดจากไวรัสตัวนี้อีกเลยตลอดชีวิต(ตัวอื่นไม่เกี่ยว)
• ถ้าคุณเป็นโรคแปลกใหม่ คุณจะได้ความรู้ใหม่ๆ เก็บไว้บอกเล่าสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้มันเกิดกับคนที่คุณรักหรือเพื่อนคุณได้อีก
• ถ้าท้องเสีย Read More