ปลูกกะหล่ำปลี กันเถอะ! เพราะกะหล่ำปลีมีคุณลักษณะเด่นหลายอย่าง คือ มีคุณค่าทางอาหารสูง รสชาติดี รับประทานได้ทั้งดิบและสุก และมีอายุการเก็บรักษาได้นาน นอกจากคุณลักษณะทางกายภาพแล้ว กะหล่ำปลีเป็นพืชผักที่อุดมไปด้วยวิตามินซี รวมทั้งยังมีสารต่อต้านการก่อตัวของโรคมะเร็งด้วย ซึ่งการรับประทานกะหล่ำปลีดิบทําให้ได้รับวิตามินซีอย่างเต็มที่ เนื่องจากวิตามินซีนั้นสูญเสียได้ง่ายจากการได้รับความร้อน
กะหล่ำปลี – Cabbage
สมัยก่อนกะหล่ำปลีปลูกได้ดีเฉพาะในฤดูหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ต่อมามีการคิดค้นพันธุ์ทนร้อน ทำให้ในปัจจุบันมีการปลูกกะหล่ำปลีได้ดีในทุกฤดูกาล
พันธุ์กะหล่ำปลีบ้านเรามีหลายพันธุ์ แยกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก คือ กะหล่ำปลีธรรมดา เป็นกะหล่ำปลีชนิดนี้มีผู้ปลูกมาก
เนื่องจากพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ทนร้อน และมีผู้นิยมบริโภคมากเช่น กัน
มีหลายลักษณะทั้งหัวกลม หัวแป้น หัวแหลมรูปหัวใจ และมีตั้งแต่สีเขียวแก่ไปจนถึงสีเขียวอ่อน
กลุ่มที่สอง คือ กะหล่ำปลีแดง มีลักษณะหัวค่อนข้างกลม มีสีแดงทับทิม ชอบอากาศหนาวเย็นแบบที่สาม
คือ กะหล่ำปลีใบย่น มีลักษณะผิวใบหยิกย่นและเป็นคลื่น ต้องการอากาศหนาวเย็นในการปลูกเช่นกัน
หรือถ้าแบ่งตามอายุการเก็บเกี่ยว พันธุ์หนักมีอายุการเก็บเกี่ยว 90-120 วัน พันธุ์กลางมีอายุ 80-90 วัน และพันธุ์เบาอายุ 60-70
วัน ซึ่งในบ้านเรานิยมปลูกพันธุ์เบามากที่สุด เนื่องจาก
เป็นพันธุ์ที่ไม่ต้องการอากาศหนาวมากนัก
การปลูกกะหล่ำปลีเป็นผักสวนครัว
เพาะกล้าลงกระถางหรือลังต่างๆ ก็ได้ โดยหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในแปลงให้กระจาย
และหว่านดินผสมปุ๋ยคอกลบหน้าบางๆ เสร็จแล้วใช้ฟางข้าวหรือหญ้าคาแห้งคลุมปิดบนแปลงอีกที่หนึ่ง
รดน้ำให้ชุ่ม ในระยะเมล็ดเริ่มงอกควรรดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ อย่าให้ขาดน้ำ
เพราะจะทําให้เมล็ดไม่งอก เมื่อกล้าอายุได้ 3-4 สัปดาห์
จึงย้ายไปปลูกในแปลงปลูก แปลงที่จะปลูกขุดดินให้ลึก 30 เซนติเมตร
ตากดิน 7 แดด เมื่อดินแห้งดีแล้วเก็บวัชพืชออกให้หมด
ย่อยดินให้ร่วนซุย ผสมปุ๋ยคอกคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
เตรียมหลุมสําหรับปลูกต้นกล้าระยะห่างระหว่างต้น 40-75 เซนติเมตร ระหว่างแถว 60-70 เซนติเมตร หลังจากย้ายต้นกล้าแล้วในวันรุ่งขึ้นควรทําร่มบังแดดให้ 3-4 วัน โดยใช้กาบกล้วยเสียบหรือใบไม้ต่างๆ กะหล่ำปลีเป็นพืชที่กินอาหารเปลือง จึงควรใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม โดยดูจากการเจริญเติบโตของกะหล่ำปลี กล่าวคือ เมื่อปลูกได้ 15 วัน ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีไนโตรเจนอย่างปุ๋ยขี้ค้างคาว ซึ่งจะช่วยให้ใบงาม ปลูกได้ 30 วัน ใส่ปุ๋ยคอกต้นละ 1 กำมือ ทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ยต้องกลบดิน และวันรุ่งขึ้นถึงรดน้ำ อายุของการเก็บเกี่ยวกะหล่ำปลีนั้นขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่เลือกปลูก ถ้าเป็นกะหล่ำปลี ธรรมดาที่เป็นที่นิยมปลูกกันมากในบ้านเรานั้น สามารถเก็บรับประทานได้ประมาณ 50-60 วันหลังการปลูก ถ้าเป็นพันธุ์หนักอายุการเก็บเกี่ยวนานถึง 120 วัน โดยเลือกเก็บหัวแน่นใช้มีดตัดให้มีใบนอกที่หุ้มหัวติดมาด้วย เพื่อที่จะเป็นตัวกันกระแทกไม่ให้หัวกะหล่ำปลีช้ำ
เคล็ดลับในการตัดกะหล่ำปลี เวลาจะรับประทานตัดเอาแต่เฉพาะตรงหัวกลม Read More
ปลูกกะเพรา ไว้กินเองดีกว่า! กะเพราเป็นพืชที่ใช้ใบสดใบอ่อนประกอบอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวของอาหารประเภทเนื้อ ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอม และเสริมให้อาหารมีรสชาติดี เรียกได้ว่าผัดกะเพราเป็นอาหารยอดฮิตของคนไทยทีเดียวแต่อย่ามองคุณค่าของใบกะเพราว่าเป็นเพียงแค่อาหารเท่านั้น เพราะการรับประทานกะเพรานอกจากอร่อยแบบไทยๆ แล้ว ยังช่วยลดอาการท้องอืด เนื่องจากกะเพรามีสารช่วยในการย่อยอาหาร
ใบกะเพรา – ฺBasil Leaf
ต้นกะเพราจัดเป็นไม้พุ่มเตี้ย อายุยืนนาน ความสูงพุ่มประมาณ 75 เซนติเมตร ลําต้นและใบมีขนเล็กน้อย ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด และปลูกได้ในทุกฤดูกาล แต่ควรเริ่มปลูก ในฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่ต้นกะเพรางอกงามได้ดีที่สุด ชอบดินร่วนซุย เช่นเดียวกับพืชผัก ชนิดอื่นๆ พันธุ์กะเพราที่นิยมปลูกในบ้านเรามี 2 พันธุ์ คือ กะเพราแดง และ กะเพราขาว ซึ่งมีข้อแตกต่างกันตรงสีของลําต้นและก้านใบกะเพราแดงนั้นสีของลําต้นและก้านใบจะเป็น สีม่วงแดงคล้ายกับใบโหระพา ส่วนกะเพราขาวนั้นสีของลําต้นและก้านใบจะเป็นสีเขียวอ่อน คล้ายกับแมงลัก
การปลูกกะเพราเป็นการค้า นิยมใช้การหว่านเมล็ดมากกว่าการปลูกด้วยกิ่งชํา แต่ในกรณีที่ปลูกเป็นพืชผักสวนครัว ก็ปลูกง่าย ดูแลง่าย เริ่มด้วยการใช้กิ่งชําน่าจะดีกว่า ขั้นตอนการปลูกเริ่มจากการเตรียมดิน โดยขุดดินลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองก้นหลุม คลุกให้เข้ากันกับดิน ย่อยดินให้ละเอียดและร่วนซุย การปลูกควรกะระยะให้ต้นห่างกันประมาณ 1 ฟุต ถ้าต้องการให้ต้นกะเพราออกใบงดงาม ก็อาจบํารุงต้นด้วยปุ๋ยอินทรีย์และมีการกําจัดวัชพืชเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้แย่งอาหารต้นกะเพรา นอกจากนี้เมื่อต้นกะเพราโตแล้วก็ควรมีการตัดแต่งกิ่งใหม่ เพื่อให้ต้นกะเพราแตกกิ่งก้านออกมาใหม่ เรียกว่ายิ่งตัดยิ่งออกใบใหม่ให้เรากิน กะเพราที่ปลูกนั้นสามารถเก็บรับประทานได้ภายใน 70 วันหลังจากการปลูกและในการเก็บไม่ควรใช้วิธีถอนต้นกะเพรา ควรใช้มีดคมๆ ตัดกิ่งก้านที่ต้องการออกมา ซึ่งวิธีการเก็บผลผลิตแบบนี้ทําให้มีกะเพราเก็บไว้กินได้นานๆ
ตะปูแห่งความโกรธ
ออร์แกนิคในหัวใจ #2
เรื่องสั้นเกี่ยวกับ ความโกรธ ที่สร้างความสั่นสะเทือนในหัวใจให้คนอ่านได้อย่างสูง อ่านแล้วไม่มีวันลืม เก็บไว้สอนลูกหลานได้ ในภาวะปัจจุบันที่คนเรามีความอดทนต่ำ หัวร้อนเร็วจัด ความเห็นอกเห็นใจน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก
——————————————————————————————–
เด็กคนหนึ่งกลับบ้านมาพร้อมรอยฟกช้ำดำเขียวที่ใบหน้าและสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกของเขา เพราะรู้จักนิสัยลูกของเขาดี ที่หงุดหงิดง่าย โดยเฉพาะการพูดจาต่อว่า ทำร้ายจิตใจผู้อื่นเป็นประจำ ทางโรงเรียนก็เชิญไปผู้ปกครองไปพบหลายครั้ง
วันนี้พ่อของเขาไม่ทำโทษ ไม่ต่อว่าเด็กน้อยสักคำ แต่ให้ตะปูกับเขา 1 ถุง พร้อมบอกให้เขาสัญญาว่า ”ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโหหรือโกรธใครสักคน หรือพูดจากทำร้ายใคร 1 ครั้ง ต้องตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วไม้ที่หลังบ้าน โกรธหรือพูดทำร้ายใคร 1 ครั้ง ให้ตอก 1 ตัว ถ้าโกรธหรือพูดทำร้ายใคร 10 ครั้ง ให้ตอกตะปู 10 ตัว”
วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว เขาเหนื่อยและเจ็บมือมากแต่ละวันที่ผ่านไป เด็กน้อยก็ค่อย ๆ ลดจำนวนการตอกตะปูน้อยลงเรื่อย ๆ น้อยลง และน้อยลง เพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ
และแล้ว…หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อ และบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่หัวร้อน โกรธ มุทะลุและพูดจาทำร้ายคนอื่นๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายว่า ”ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ลูกต้องพิสูจน์ให้พ่อดู โดยทุกๆ ครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง”
ในวันต่อๆ มา วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยก็ค่อยๆ ถอนตะปูออก ทีละตัว จาก 1 เป็น 2 …จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก…จนหมด เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อว่า“ผมทำได้แล้วครับ ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ” พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้านและบอกกับลูกว่า “ลูกทำได้ดีมาก แต่ลูกลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ ลูกเห็นหรือเปล่าว่า รั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น”…..“จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่ลูกโกรธ โมโห พูดจาทำร้ายคนอื่น หรือทำอะไรไม่ดีๆ ลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอาตะปูตอกเข้าไปในใจของคนๆ นั้น รวมทั้งในใจของลูกเอง ต่อให้ลูกพูด “ขอโทษ” สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ มันก็เหมือนกับตะปูที่ลูกตอกไปที่รั้วนั้น แม้ลูกจะถอนมันออมมาแล้ว มันจะยังคงมีร่องรอยให้คงอยู่ไปตลอดกาล”
…………………………………………………
ทุกวันนี้เด็กๆ มักพูดจาไม่ดีกับพ่อแม่ Read More
คลื่นซึนามิดิจิตอลเปลี่ยนโลก
โลกยุคดิจิตอล “น่ากลัว” กว่าที่คิด !!! เปรียบเหมือน “คลื่นยักษ์” ที่ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า แถมเป็นคลื่นซึนามิที่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เปลี่ยนชีวิตเราอย่างรุนแรงอย่างรวดเร็วไปเรื่อยๆไม่หยุดยั้งง่ายๆ
คลื่นลูกนี้ได้เข้ามา”พลิกโลก”(ทำลายล้าง) ธุรกิจฟิล์มถ่ายรูปแล้ว ต่อมาก็ทำลายล้างธุรกิจเทปซีดี ตอนนี้กำลังทำลายล้างธุรกิจทีวีและธุรกิจสิ่งพิมพ์ (ปัจจุบัน คนแทบไม่ดูทีวี คนอ่านหนังสือน้อยลงมาก หันไปเล่นสมาร์ทโฟนกันหมด) ต่อไป คลื่นลูกนี้กำลังมุ่งสู่ธุรกิจการเงินการธนนคาร โดยสาขาของธนาคารหลายแห่งจะปิดตัว หรือควบรวมกิจการ หันเป็นใช้ธนาคารบนมือถึอ และกระเป๋าเงินออนไลน์
เปลี่ยนให้ห้างสรรพสินค้าจะเป็นเหมือนโชว์รูม คือคนไปเดินดูสินค้า แต่ไม่ซื้อ หรือไปกินอาหารเฉยๆ แล้วกลับมาซื้อผ่านออนไลน์ที่ถูกกว่า 20-30% แล้วก็มี Kerry เอาสินค้ามาส่งถึงบ้าน
ยังมีธุรกิจอีกมากมายที่ “รอคิว” ที่จะถูกทำลายล้างอยู่ โดยภายในอีกไม่กี่ปี ตำแหน่งงานที่เคยทำกันทุกประเทศรวมทั้งในไทยจะหายไปหลายล้านตำแหน่ง แต่ก็จะเกิดตำแหน่งงานใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักขึ้นมาเหมือนกัน
แล้วเราถามตัวเองหรือยังว่า “ตัวเราล่ะ” เตรียมพร้อมที่จะรับคลื่นลูกนี้หรือยัง? เตรียมพร้อมเพื่อรับแรงกระแทกจากคลื่นดิจิตอล คลื่นยักษ์ที่จะทำลายล้างทุกสิ่ง “คนที่พัฒนาและปรับตัว” อยู่เสมอเท่านั้นจะอยู่ได้สบาย ลองอ่านบทความต่อนะ ..
โลกเปลี่ยน…คนเป็นครูต้องตีลังกากลับหัว คิดสอนแบบเดิมไม่ได้แล้ว! ตรงกับบทความในหนังสือ “This is a กู” ว่า..โลกกำลังเปลี่ยน ธุรกิจกำลังเปลี่ยนหลายอย่าง ตอนนี้มันตีลังกากลับหัวหมด กลับหัวจนคนไทยงงและตามไม่ทัน
เมื่อก่อนธุรกิจที่มั่นคง น่าเชื่อถือ ต้องมีโรงงาน มีสำนักงาน มีบุคลากรเยอะๆ แต่สมัยนี้ ยิ่งน้อยยิ่งดี แต่น้อยอย่างมีประสิทธิภาพ คนน้อย กำไรเยอะ ค่าตอบแทนสูง มันกลับหัวไปหมดจากอดีต
Apple ไม่เคยมีโรงงานผลิตของตัวเอง แต่ครองตลาดอันดับ 1 ของโลก เพราะจ้างผลิตล้วนๆ กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี มาร์จิ้นสูงมาก ผลประกอบการดี๊ดี
Facebook, Google มีรายได้มหาศาลจากโฆษณา โดยไม่มีพนักงานขายโฆษณาเลยสักคน เพราะใช้พาร์ทเนอร์ และให้ลูกค้าทำเองได้ กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี มาร์จิ้นสูงมาก ผลประกอบการดี๊ดี
วันนี้ไม่เพียงแต่ตัวอย่างข้างต้น แต่เราจะเห็นโมเดลธุรกิจแบบนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เรื่องจริง ไม่ได้ล้อเล่น! ไม่เชื่อ ดูข้อมูลต่อไปนี
GRAB เป็นบริษัทแท็กซี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่มีรถของตัวเองสักคัน
Alibaba เป็นแหล่งค้าปลีกออนไลน์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่ไม่เคยมีสินค้าและสต็อกสินค้าเลยสักชิ้น
Airbnb ผู้จัดหาห้องพักใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่มีห้องพักของตัวเองเลยแม้แต่ห้องเดียว
นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น นี่คือการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ โลกกำลังเปลี่ยน ธุรกิจกำลังเปลี่ยน หลายอย่าง มันตีลังกากลับหัวหมด คุณตามการเปลี่ยนแปลงทันนะครับ...
“ร้านค้าอยู่บนอากาศ สาขาคือมนุษย์ทุกๆคน”
ชีวิตในอนาคต
โลกนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร? Read More



